top of page
ค้นหา

3 ความต้องการหลักที่ลูกค้าคาดหวัง วิธีตอบโจทย์เพื่อความสำเร็จทางการตลาด


ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใดความสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหนึ่งประการ คือ ความสามารถในการโน้มน้าวให้ลูกค้าเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ การทำเช่นนี้ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาด คู่แข่ง และที่สำคัญที่สุดคือลูกค้าเป้าหมาย พวกเขามีแรงจูงใจอะไร? เผชิญกับความท้าทายอะไร? มีเป้าหมายและความต้องการอะไรที่ผลักดันให้ตัดสินใจซื้อ? เมื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้า จึงจะสามารถสร้างข้อความทางการตลาดและการขายที่ดึงดูดใจ ปรับปรุงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ยกระดับการบริการลูกค้า และเสริมสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจโดยรวมของคุณได้

ความต้องการของลูกค้าคืออะไร?

ความต้องการของลูกค้าคือปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจซื้อ ซึ่งอาจเป็นความต้องการที่ชัดเจน (ลูกค้าสามารถระบุได้) หรือความต้องการที่แฝงอยู่ (ลูกค้าอาจไม่ตระหนักรู้) ยิ่งเข้าใจความต้องการเหล่านี้มากเท่าไร ก็ยิ่งสามารถวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดได้ ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่ทรงพลังในการระบุและประเมินความต้องการของลูกค้าคือ กรอบแนวคิด Jobs to Be Done (JTBD)


แนวคิด Jobs to Be Done ลูกค้าไม่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่พวกเขา "จ้าง" ผลิตภัณฑ์นั้นเพื่อทำงานบางอย่างให้สำเร็จ ได้แก่

  • พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น

  • หลีกเลี่ยงการถูกตลาดปั่นป่วน (disruption)

  • ค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต


กล่าวได้ว่า ความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ หากคุณต้องการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ การเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า จะช่วยให้คุณสามารถตอบโจทย์ได้ตรงจุดและสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองมาทำความเข้าใจ 3 ประเภทหลักของความต้องการลูกค้า และวิธีที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ


  1. ความต้องการเชิงฟังก์ชัน (Functional Needs)

ความต้องการฟังก์ชัน คือความต้องการที่ชัดเจนและสามารถระบุได้ง่ายที่สุด ลูกค้าต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการในการทำงานบางอย่างให้สำเร็จ เช่น หากลูกค้าซื้อโทรศัพท์มือถือ พวกเขาจะคาดหวังถึงคุณสมบัติการใช้งานที่รวดเร็ว ระบบปฏิบัติการที่เสถียร และฟังก์ชันที่ตอบสนองความต้องการประจำวันได้ดี เช่น การถ่ายภาพ การท่องอินเทอร์เน็ต หรือการเชื่อมต่อกับเครือข่ายต่างๆ


กลยุทธ์ในการตอบสนองความต้องการฟังก์ชัน:

  • ปรับปรุงคุณภาพ: การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีฟังก์ชันตอบสนองความต้องการอย่างแม่นยำ เช่น การปรับปรุงฟังก์ชันการใช้งานให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น

  • ทดลองใช้: เสนอการทดลองใช้ฟรีหรือการสาธิตผลิตภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าทราบว่า ฟังก์ชันของสินค้า/บริการนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาได้

  • อัพเดตคุณสมบัติ: เพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการลูกค้าในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว


ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าต้องการซื้อสายยางรดน้ำต้นไม้:

  • นักทำสวนมือใหม่อาจแค่ต้องการสายยางรดน้ำต้นไม้

  • นักทำสวนที่มีประสบการณ์อาจต้องการสายยางที่ยาวพอจะรดน้ำถึงแปลงผัก

  • ลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพอาจต้องการสายยางที่ทนทานและไม่พับงอง่าย

เมื่อเข้าใจความต้องการเหล่านี้ ธุรกิจสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ เช่น สายยางที่มีหลายขนาดและป้องกันการพับงอได้


  1. ความต้องการเชิงสังคม (Social Needs)

ความต้องการเชิงสังคม เกี่ยวข้องกับการที่ลูกค้าต้องการสินค้าหรือบริการที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์หรือสถานะในสังคม ความต้องการนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าจะพูดออกมาตรงๆ แต่ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีสถานะที่ดีหรือสอดคล้องกับกลุ่มสังคมที่ตนเองต้องการเข้าร่วม ตัวอย่างเช่น การเลือกซื้อรถหรูเพื่อสร้างภาพลักษณ์ หรือเลือกซื้อเครื่องสำอางแบรนด์ดังเพื่อแสดงถึงความทันสมัยและสถานะทางสังคม


กลยุทธ์ในการตอบสนองความต้องการเชิงสังคม:

  • สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ชัดเจน: ใช้การตลาดที่เน้นเรื่องความสำคัญของภาพลักษณ์ เช่น การใช้แบรนด์ที่มักจะเกี่ยวข้องกับการสร้างค่านิยมที่ลูกค้าต้องการให้คนอื่นเห็น

  • เชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย: สร้างโครงการที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เช่น การจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ

  • การรีวิวจากผู้มีอิทธิพล: การใช้ Influencer หรือผู้มีชื่อเสียงที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นั้นเหมาะสมกับภาพลักษณ์ที่พวกเขาต้องการ


ตัวอย่างเช่น:

  • คนทำสวนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี อาจเลือกสายยางที่สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันควบคุมน้ำอัจฉริยะเพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเพื่อน

  • นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอาจมองหาสายยางที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลเพื่อให้เข้ากับค่านิยมของพวกเขา

การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


  1. ความต้องการเชิงอารมณ์ (Emotional Needs)

ความต้องการเชิงอารมณ์ เป็นสิ่งที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด แต่เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ลูกค้าบางคนเลือกซื้อสินค้าหรือบริการไม่ใช่เพียงแค่เหตุผลทางฟังก์ชันหรือราคา แต่เนื่องจากมันทำให้พวกเขารู้สึกดี เช่น การซื้อผลิตภัณฑ์ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นหรือเชื่อมโยงกับความทรงจำบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่ซื้อเครื่องดื่มชาเย็นในช่วงบ่ายเพื่อความผ่อนคลาย หรือการเลือกซื้อสินค้าที่ทำให้พวกเขารู้สึกหรูหราหรือพิเศษ


กลยุทธ์ในการตอบสนองความต้องการเชิงอารมณ์:

  • สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่พิเศษ: การใช้แคมเปญที่เน้นการสร้างความรู้สึกดีให้กับลูกค้า เช่น การสร้างความทรงจำที่ดีในการใช้ผลิตภัณฑ์

  • การเล่าเรื่อง (Storytelling): ใช้การเล่าเรื่องที่สร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับลูกค้า เช่น การใช้โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว การมองย้อนกลับไปยังอดีต หรือการใช้ประสบการณ์ที่ลูกค้าสามารถเชื่อมโยงได้

  • การสร้างความสัมพันธ์: มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับลูกค้า เช่น การให้บริการที่ใส่ใจลูกค้าอย่างจริงใจและเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ดี


ตัวอย่างเช่น:

  • ลูกค้าที่ทำสวนเพื่อความผ่อนคลาย อาจเลือกสายยางธรรมดาที่ใช้งานง่าย

  • ลูกค้าที่มีความทรงจำเกี่ยวกับการทำสวนกับผู้สูงอายุ อาจเลือกซื้อสายยางจากแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์แบบดั้งเดิมเพื่อกระตุ้นความรู้สึกโหยหาอดีต

ธุรกิจที่สามารถระบุและตอบสนองต่อความต้องการเชิงอารมณ์ของลูกค้าได้ จะสามารถสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่นในตลาดได้


ความต้องการของลูกค้าทั้ง 3 ประเภท ล้วนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่สามารถสร้างการตอบสนองที่ดีต่อลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจลูกค้าในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นการมองหาฟังก์ชันที่ดีที่สุด สร้างภาพลักษณ์ทางสังคม หรือการตอบสนองต่อความรู้สึกอารมณ์ จะทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเชื่อมโยงกับลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง และกลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มเป้าหมายได้

 
 
 

Commentaires

Noté 0 étoile sur 5.
Pas encore de note

Ajouter une note

สมัครรับข่าวสารใหม่ ๆ 

และทรัพยากร MindDoJo

bottom of page